เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ วันนี้วันพระ วันพระ ท่ามกลางสายฝน ท่ามกลางสายฝนมันชุ่มชื้น ความชุ่มชื้น ถ้าที่ไหนมีแหล่งน้ำ ที่นั่นจะมีชีวิต ถ้าที่ไหนมันแห้งแล้ง สิ่งมีชีวิตจะอยู่ไม่ได้ สิ่งที่มีชีวิต ธรรมะเป็นธรรมชาติ ดูสิ เวลาตามฤดูกาลของเขา เวลาฝนตกรุนแรงเกินไป คนเสียชีวิต ภัยพิบัติมันมหาศาล ชีวิตนี้ไม่ปลอดภัยเลย ถ้าชีวิตนี้ไม่ปลอดภัย ไม่ปลอดภัยจากฤดูกาลนะ
แต่ถ้าวันนี้เป็นวันพระ วันพระเป็นผู้ประเสริฐ ประเสริฐในหัวใจของตน ถ้าประเสริฐในหัวใจของตน เรามาวัดมาวา เราทำบุญกุศลของเราเพื่อหัวใจดวงนี้ไง ปฏิคาหก เราได้มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของเราอยู่แล้ว เรามาเสียสละเพื่อหัวใจของเรา ถ้าใจของเรา ผู้รับก็รับด้วยปฏิคาหก รับแล้วใช้ประโยชน์เต็มที่ของเขา นั่นมันจบสิ้นกระบวนการตรงนั้นไง ถ้ามันจบสิ้นกระบวนการตรงนั้น บุญกุศลนี่ได้มหาศาล ทำบุญทิ้งเหวๆ ทำบุญสิ่งใดที่ไม่มีมารยาสาไถย ทำบุญสิ่งนั้นมันจะเป็นประโยชน์กับเราไง ถ้าทำบุญแล้วมันมีแต่มารยาสาไถยไง มารยาสาไถยทำบุญให้กิเลสมันตัวอ้วนๆ ไง เวลากิเลสมันตัวอ้วนขึ้นมามันเป็นประโยชน์สิ่งใด
ถ้ามันประเสริฐ มันประเสริฐที่หัวใจนั้น ถ้ามันประเสริฐที่หัวใจนั้น ดูสิ คนที่เขามีสติปัญญาของเขา เขานิ่งแล้วสงบ นั่นน่ะสุดยอด
ไอ้พวกขี้กลาก ขี้กลากมันชอบลามปาม ขี้กลากมันลามปามของมันไปเรื่อย แล้วมันไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันอยากโชว์ ขี้กลากมันอยากให้เห็นความเป็นขี้กลากของมันไง แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมากับความเป็นจริง ความเป็นจริงเขามีแต่เอายาทาให้มันหายไป เขาไม่ต้องการสิ่งนั้น เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความลามปาม แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ เป็นจริงในหัวใจของเรา เห็นไหม
ถ้าพูดถึงผู้ที่มีสติมีปัญญานะ มันสะอาดบริสุทธิ์มาจากหัวใจดวงนี้ ถ้ามันสะอาดมาจากหัวใจดวงนี้นะ ทำสิ่งใดขึ้นไป โอ้โฮ! มันดูสวยงามไปหมดน่ะ มันดูสวยงาม แต่ถ้ามันเป็นมารยาสาไถยมันไม่สวยงาม มันไม่สวยงามเลย นี่มันเป็นเรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ เรื่องโลกคือเรื่องขยายอิทธิพลของตน มันไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้น
วันนี้วันพระ ถ้าวันพระ ผู้เห็นภัยในวัฏสงสารมาบวชเป็นพระ ถ้าบวชเป็นพระ บวชเป็นพระแล้วเหมือนนกมีปีกกับหางบินไป หาที่ไหนมีผลไม้ มีสิ่งใดเป็นอาหาร กินแล้วไม่ติดในที่อยู่ของตน บินไป บินไปโดยไม่ติดสิ่งใดเลย ถ้าบวชเป็นพระๆ ดูสิ นกเวลามันบินไป มันมีอิสรภาพของมัน มนุษย์โง่กว่าสัตว์ โง่กว่าสัตว์เพราะมีกฎหมายมีกติกาคอยยึดมั่น คอยควบคุม แต่สัตว์ป่า สัตว์ป่ามันอยู่ด้วยความอิสระของมัน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบพระภิกษุเหมือนนกมีปีกกับหาง บินไปไหน ถ้ามีผลไม้ฉันกินพออิ่มท้องแล้วบินไป ไม่ติดที่ใดทั้งสิ้น ไปหาต้นใหม่ข้างหน้านู่น ถ้าหาต้นใหม่ข้างหน้านู่น เห็นไหม นี่ความเป็นสัจจะเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริง นี่พูดถึงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกให้เห็นเป็นรูปธรรมเลย แต่มันเป็นจริงหรือไม่ล่ะ
เวลาพระเราไปบวชแล้วมีวัดมีวา มันมีที่อาศัย มันก็เหมือนนกขังไว้ในกรง แล้วแต่ใครจะมาป้อนอาหารให้มัน ไม่กุ๊กกรู้ๆ ไม่ให้กิน ต้องกุ๊กกรู้ๆ ไม่อย่างนั้นไม่ใส่บาตร ต้องกุ๊กกรู้ๆ อยู่อย่างนั้นหรือ นกในกรงน่ะ
ถ้ามันนกธรรมชาติของเขา เขาระแวงนะ ที่ไหนมีมนุษย์ ที่ไหนมีคนน่ะอันตราย เวลาสัตว์ที่มันทำร้ายกัน ทำร้ายกันเรื่องอย่างหนึ่ง เวลาสัตว์ ยักษ์ ยักษ์สองตา ยักษ์สองขา มันกินทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้น เวลาสัตว์มันเจอมนุษย์ มันวิ่งหนีทั้งนั้นน่ะ มันไม่อยู่ใกล้ของมันหรอก แล้วเวลามันเป็นสัตว์ เห็นไหม
ธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาเราบวชแล้ว เราประพฤติปฏิบัติแล้วเราต้องการครูบาอาจารย์ของเรา ผู้นำฝูงๆ ไง โคนำฝูงๆ โคที่ฉลาดจะพาฝูงโคนั้นพ้นจากวังน้ำวน ข้ามฟากจากโลกียปัญญาไปสู่โลกุตตรปัญญา
จากเรื่องโลกๆ เรื่องความทุกข์ความยากในหัวใจของเรา วันนี้วันพระ วันพระ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข เทศนาว่าการไป พระที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาพ้นจากภัยในหัวใจไง พ้นจากวัฏสงสารไง ไม่มีเชื้อไขกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจอันนั้น มันมีความสุขของมันโดยธรรมชาติของมันไง ถ้ามีความสุขโดยธรรมชาติของมัน ความสุขอันนั้น ธรรมธาตุๆ แล้วธรรมธาตุทำสิ่งใดแล้วมันเพื่อเป็นประโยชน์ไง ถ้าเป็นประโยชน์ก็เป็นประโยชน์กับหัวใจของเรา นั่งเฉยๆ ก็เป็นประโยชน์นะ
เวลาอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะท่านพูด เราจำแม่นเลย เวลาพระที่มาถามปัญหาๆ ท่านบอกเลยนะ “กูนั่งเยี่ยวยังดีกว่าพวกมึงภาวนาอีก” ท่านนั่งปัสสาวะอยู่ แต่จิตใจท่านสมบูรณ์ของท่าน ไอ้เราเดินจงกรม ๒๔ ชั่วโมงนะ เดินจงกรมเกือบเป็นเกือบตาย เวลาไปถามปัญหาท่านนะ ท่านบอก “กูนั่งเยี่ยวยังดีกว่ามึงภาวนาอีก”
นี่ไง เวลามันแตกต่างกัน จิตใจที่มันเป็นธรรมๆ ขึ้นมาแล้ว ถ้ามันเป็นประโยชน์ขึ้นมาแล้วมันจะมีมารยาสาไถยไปทำไม เวลามาเราก็มาตัดทอนมัน เรามาหักปีกหักแข้งหักขามันไง ที่เราพยายามหักปีกหักแข้งหักขากิเลสตัณหาความทะยานอยากไง แล้วก็สร้างคุณงามความดี คุณงามความดีคือสติปัญญาไง ถ้าสติปัญญา การแสดงออกมันก็เป็นประโยชน์ขึ้นมา ถ้ามันเป็นประโยชน์ขึ้นมา นี่โคนำฝูงๆ โคที่ดี เราก็แสวงหาโคที่ดีที่จะนำฝูง นำฝูงให้พ้นจากวังน้ำวน
โคมันข้ามแม่น้ำ มันไปที่ไหนมันมีแต่เภทภัยของมัน เราจะมานอนใจอยู่อย่างนั้นได้อย่างไร เราก็ต้องมีสติสมบูรณ์ของเรา ทำเพื่อประโยชน์กับเรา วันพระๆ มันมีประโยชน์อย่างนั้นน่ะ ถ้าประโยชน์ของเรา ประโยชน์ในหัวใจของเรา เราพอใจเราอยู่แล้ว ไม่พอใจ เราไม่กระเสือกกระสนมาหรอก ถ้าเรากระเสือกกระสนมาแล้ว เราพอใจแล้ว เราทำของเราแล้ว สิ่งนั้นน่ะเป็นประโยชน์
ไม่ต้องมากุ๊กกรู้ๆ น่าเบื่อหน่าย มันมีปีกมีหางก็ไปแล้ว ไอ้สิ่งนั้นมันมีแต่กดถ่วง มันไม่มีประโยชน์สิ่งใดเลย แต่โดยธรรมชาติของมันนะ โดยธรรมชาติของฝูงสัตว์ ฝูงสัตว์ทุกฝูง เวลาลูกฝูงมันจะขับไล่หัวหน้าฝูงมันไป เวลาหัวหน้าฝูงชราภาพนะ ดูสิ สิงโตอย่างนี้ เวลามันแย่งครองฝูงมัน มันทำลายหัวหน้ามันทั้งนั้นน่ะ ถ้าหัวหน้าชราภาพไม่มีกำลังแล้ว ต้องไป อยู่ไม่ได้ ไอ้ตัวหนุ่มมันขึ้นมามันจะครองบัลลังก์ นี่เรื่องของโลก แต่เรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากจะเป็นอย่างนั้นไหม
ทิฏฐิพระ มานะกษัตริย์ เรื่องของโลกๆ นะ เรื่องของโลก ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันไม่เป็นอย่างนั้น ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดปรินิพพานไปแล้ว พระอานนท์ยังปฏิบัติเหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีพอยู่เลย พระอานนท์ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลานะ ผู้ที่เป็นธรรมๆ มันสวยงาม แล้วมันระลึกถึงเห็นคุณงามความดี มันระลึกถึงพระคุณไง พ่อแม่ครูจารย์ๆ ในหัวใจระลึกถึงครูบาอาจารย์น้ำตาไหลนะ
อยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ เราเป็นคนอุปัฏฐากเอง เวลาเขาเอาอาหารดีๆ มา เวลาท่านตัก น้ำตาไหล แล้วฉันอาหารเรียบร้อยแล้ว เวลาไปทำข้อวัตร เราไปถามท่าน “ทำไมหลวงปู่ร้องไห้ล่ะ”
“โอ้โฮ! คิดถึงหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านไม่เคยฉันอาหารอย่างนี้เลย”
เพราะหลวงปู่เจี๊ยะกับหลวงตามาหาบัวท่านเป็นผู้อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น เป็นผู้อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น เป็นผู้จัดบาตรให้ เป็นผู้จัดอาหารใส่บาตรให้ ท่านจะรู้เห็นเลยว่าครูบาอาจารย์ได้ฉันอะไรไม่ได้ฉันอะไรบ้าง เพราะท่านเป็นคนจัดให้ๆๆ ท่านเป็นคนจัดกับมือ ท่านเห็นกับมือ แล้วมันไม่เคยพบเคยเห็นอาหารแบบนี้เลยอยู่ในป่าในเขาน่ะ
หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดเอง ถ้าอยู่ทางเชียงใหม่นะ ถ้าวันไหนได้ปลาสร้อยตัวหนึ่งนะ วันนั้นถูกรางวัลที่หนึ่ง ปลาสร้อยน่ะ ปลาสร้อยตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งน่ะ วันนั้นถูกรางวัลที่หนึ่ง มันสมบูรณ์ขนาดนั้นน่ะ ถ้าได้ปลาสร้อยตัวเดียวนะ แล้วมันไม่มีอาหารสมบูรณ์แบบอย่างนี้หรอก
เวลาท่านมีลูกศิษย์ลูกหามาเคารพศรัทธา เคารพศรัทธามาจากไหน ก็มาจากหลวงปู่มั่นสับโขกมา ครูบาอาจารย์ท่านบอกหลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมมา หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมมา ได้อบรม ได้บ่มเพาะ ได้ดูแลมา ได้ดูแลมาจนมีความมั่นคงในหัวใจ แล้วมีคนเชื่อถือศรัทธา สิ่งที่ได้มา ได้มาจากไหน ก็ได้มาจากครูบาอาจารย์ของเรา แล้วครูบาอาจารย์ของเราไม่เคยได้อยู่ได้ฉันโดยอุดมสมบูรณ์แบบนี้เลย เวลาระลึกถึงแล้วน้ำตาไหล
เวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านไปคุยกับหลวงตา “ทำไมเราระลึกถึงหลวงปู่มั่นทีไรน้ำตาไหลทุกทีเลยวะ”
หลวงตาท่านบอกมันก็เป็นธรรมสังเวช นี่เวลาท่านคุยกันๆ เห็นไหม
มันไม่ใช่ฝูงสัตว์ มันคอยแต่จะล้มหัวหน้าฝูง มันจะเป็นผู้นำฝูง ทั้งๆ ที่มันมีปัญญามากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเป็นธรรมๆ เป็นธรรม พ่อแม่เราจะชราภาพชราคร่ำคร่าขนาดไหนก็คือพ่อแม่ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วนะ พวกเราชาวพุทธเคยเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัวจริงไหม ได้เห็นแต่พระพุทธรูป แต่เราก็เชื่อมั่นของเรา ถึงเราจะไม่เห็นตัวท่านเลย แต่ด้วยกิตติศัพท์กิตติคุณ ด้วยความเมตตาคุณ ด้วยการกระทำ ด้วยเมตตาธรรมของท่าน ท่านได้วางธรรมวินัยนี้ไว้ให้เราประพฤติปกิบัติขึ้นมา ถ้าเราทำความเป็นจริงขึ้นมา เรามีสติจริงๆ ขึ้นมา มันก็เป็นธรรมวินัยที่เป็นเครื่องห้ามที่เป็นแท้จริง แต่ถ้าไม่มีมันก็เป็นลอยลมทั้งนั้นน่ะ เวลาพูดธรรมะปากเปียกปากแฉะ มันไปอยู่ข้างนอกนู่น แต่ความจริงในหัวใจไฟมันแผดเผา ไฟมันแผดเผา
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประเพณีวัฒนธรรม มันก็สวยงามด้วยประเพณีวัฒนธรรม แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ขึ้นมา ใครมีสติมีปัญญาขึ้นมา มาทำบุญกุศลของเรา เสียสละนี้ไป ทำบุญทิ้งเหว พอทิ้งไปแล้ว เรากรวดน้ำแห้ง กรวดน้ำแห้งคือเราระลึกถึงของเรา เวลาเราใส่บาตรไปแล้วนะ ใส่บาตรไปแล้ว สิ่งนี้เราให้ นี่ภิกขาจาร เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง สิ่งนี้ทำภัตกิจ ภัตกิจเพื่อดำรงชีพ ดำรงชีพไว้ประพฤติปฏิบัติ ดำรงชีพไว้เพื่ออบรมสั่งสอน เราเสียสละสิ่งนี้ไปเพื่อชีวิต เพื่อความดำรงชีพของครูบาอาจารย์ มันจะไม่ได้บุญไปตรงไหน ถ้ามันได้บุญกุศลของเรา เราอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ให้กับปู่ย่าตายายของเรา ให้กับสรรพสัตว์รอบข้างตัวเรา ให้เรามีชะตาชีวิต มีสิ่งใดที่อุดมสมบูรณ์ขึ้นมา มันเป็นประโยชน์กับเราๆ นี่พูดถึงว่าบุญกุศลๆ นี่เรื่องของบุญนะ
แล้วคนที่มีอำนาจวาสนาขึ้นมาอยากจะค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของตน อยากจะดับทุกข์ๆ ในความเป็นจริงของตน เราก็จะมาประพฤติปฏิบัติกัน เรามาจำศีลๆ อยู่วัดอยู่วาเพื่อมาฝึกหัด จากทฤษฎีจากความจำให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นสติก็สติอย่างนี้ ถ้าเป็นสติ เราจะไม่ทุกข์เลย ถ้าเป็นสติ มันจะเท่าทันความคิดของเราทั้งหมด ความคิดของเราที่มันฟุ้งซ่าน ความคิดของเราที่มันกดถ่วงหัวใจ ความคิดของเราที่มันทิ่มแทงหัวใจ ถ้ามันมีสติปัญญา มันหยุดหมด มันหยุดด้วยสติไง
พอมันหยุดด้วยสติขึ้นมา เราก็มีสติของเราต่อเนื่องไป เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ทำความสงบของใจเข้ามาๆ ให้มันเป็นจริงขึ้นมา ให้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา ถ้ามีศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม
โคนำฝูงๆ เขานำโคข้ามฝูง สัตว์เวลามันนำฝูงสัตว์ แล้วเวลามันถ่ายทอดประสบการณ์ แล้วเวลาโคมันหมดอายุขัย มันตายไป ไอ้โคตัวใหม่มันก็พาฝูงของมันต่อเนื่องไปๆ การกระทำของมันเป็นความจริงเพราะอะไร เพราะมันต้องพาฝูงโคข้ามภัยอันตรายของมันไป พาฝูงโคพ้นจากนักล่า
เรามาประพฤติปฏิบัติ มาฝึกหัดสติปัญญาของ เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมาๆ มันเป็นความจริงขึ้นมาจากหัวใจนี้ มันมีสติ สติขึ้นมาจากหัวใจนี้ มันมีปัญญา ปัญญาขึ้นมาจากหัวใจนี้
โคนำฝูง เราก็ตามต้อยๆ ไปกับฝูงนั้นน่ะเพื่อเอาชีวิตรอด แต่เวลาเอาจริงๆ ขึ้นมา เรามีสติปัญญาจะพาตัวเรารอดไปเอง เรามีประสบการณ์ มีความจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้ามีความจริงในหัวใจของเรา นี่ไง ถ้ามันมีสติมีปัญญา ถ้าฝึกหัดๆ เราฝึกหัดอย่างนี้ไง ถ้าฝึกหัดอย่างนี้ มันจะต้องไปแย่งชิงฝูงจากใคร
โดยธรรมชาติเวลาฝูงสัตว์ๆ มันก็พยายามจะไต่เต้าขึ้นมาเป็นหัวหน้าฝูง แต่โดยธรรมๆ ยิ่งระลึกธรรมมากน้อยเท่าไร ยิ่งมีปัญญามากเท่าไร มันยิ่งจะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันยิ่งเคารพบูชามากขึ้นเท่านั้น คนที่ทำได้จริงๆ นะ มันดำรงชีพของมัน มันเติบโตขึ้นมาด้วยใคร
เวลาผู้ที่เป็นธรรมๆ ท่านจะบอกว่า “หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมมา หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมมา” แล้วเวลาระลึกถึงหลวงปู่มั่น น้ำตาไหล น้ำตาไหลนะ นี่ไง หลวงปู่มั่นท่านก็นิพพานไปแล้ว เวลาท่านนิพพานไปแล้ว ท่านทำไว้เพื่ออะไร
ให้ศาสนทายาท ให้ศาสนามั่นคง ให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ชัดเจน ให้รัตนตรัย วันนี้วันพระ เราชาวพุทธๆ ให้มันชัดเจนในหัวใจของเรา ให้เรามีความเชื่อมั่นในสัจจะในความจริงอันนั้น แล้วถ้าธรรมเป็นความจริงขึ้นมา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาในใจของเรา นี่มันประเสริฐ ประเสริฐตรงนี้ไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านถ่ายทอดไป ท่านทำไปก็เพื่อเหตุนี้ไง
นี่ไง ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานมาสองพันกว่าปี ยังไม่เคยขาดพระภิกษุนะ ถ้าภิกษุที่ไหนขาดแคลน เขาจะนิมนต์มาเพื่อบวช เพื่อให้มันมีพระสืบต่อกันมา สองพันกว่าปี สองพันกว่าปีนะ พระไม่ขาดช่วงเลย เวลานางภิกษุณีขาดช่วงไปแล้วก็ถือว่ามันขาดช่วงไปแล้ว นั่นเราถือเป็นเป็นสัจจะความจริง แต่ทางโลกเขายังฟื้นฟูของเขา นั่นก็เป็นความเห็นของเขา แต่ถ้าเป็นความเห็นของเรา เราจะฟื้นฟู ทำไมต้องไปฟื้นฟู ต้องไปขัดแย้งกับสังคม เราจะฟื้นฟูหัวใจของเราไง
ถ้าเราเชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นไหม สมาธิไม่มีหญิง ไม่มีชาย เวลาบรรลุธรรมขึ้นมา นางอุบลวรรณาเป็นภิกษุณีก็เป็นพระอรหันต์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ก็เป็นพระอรหันต์ เวลาเป็นพระอรหันต์มันเป็นที่หัวใจนี้ มันไม่ได้เป็นที่รูปแบบ รูปแบบนั้นมันเป็นประเพณีวัฒนธรรม เป็นประเพณีให้ชาวพุทธได้ทำบุญกุศลกันอยู่นี่ไง แต่ถ้าเป็นจริงๆ เป็นจริงในหัวใจเรานี่ เราถึงแสวงหาของเรา
นี่วันพระ ถ้าวันพระๆ เราไปวัดขึ้นมาให้มันมีรสมีชาติ อย่าให้มันจืดชืด ไปพอเป็นพิธี ฟังเทศน์เอาบุญ นั่งหลับสัปหงก พอสาธุ อู้ฮู! บุญเต็มเลย บุญเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ของเราเวลาฟังธรรม ไม่ใช่กุ๊กกรู้ๆ มันก็เข้าใจได้ เราไม่ต้องไปแสดงมารยาสาไถยอย่างนั้น เราจะดูแลรักษาหัวใจของเรา เราจะเอาความจริงของเราขึ้นมา ถ้ามันเป็นธรรมๆ ขึ้นมา มันมีคุณค่า เพชรอยู่ที่ไหนก็เป็นเพชร ทองอยู่ที่ไหนก็เป็นทอง ทองมันยิ่งโดนไฟมันยิ่งแวววาว นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นความจริง เป็นบุญกุศลของเรา เป็นความจริงของเรา อยู่ที่ไหนก็ได้ มันยิ่งเป็นจริงมันยิ่งดีขึ้นมา ไม่ต้องให้ใครมาคะแนน
เอาเข้าร้านทอง มันบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ตีราคา ไอ้นั่นมันเรื่องของทอง แต่ความจริงๆ มันอยู่ที่นี่ไง วันพระๆ นะ ให้มันมั่นคงที่นี่ ถ้ามันมั่นคงที่นี่ มั่นคงที่นี่คือที่หัวใจ ถ้าหัวใจของคนมีสติมีปัญญาขึ้นมาแล้ว ศาสนามั่นคง แล้วชีวิตเราก็มั่นคง เวลากลับบ้านไปนะ มีสิ่งใดกระทบกระทือน วางไว้นั่น เราเพิ่งทำบุญของเรามา เราทำบุญของเรามาเพื่อชีวิตของเรา เพื่อสุขสงบระงับชั่วคราวก็ยังดี เวลาไฟมันแผดเผาขึ้นมามันเร่าร้อนทั้งนั้นน่ะ ต้องดับเพลิงๆ ดับไฟอันนั้น
ถ้าดับไฟอันนั้นขึ้นมา เวลาใครมาจุดไฟในหัวใจของเราไง กระทบกระทั่งเรื่องสิ่งใดนะ มันจะจุดไฟขึ้นมา เห็นไหม เราดับของเราด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ถ้าใครดับได้มันก็เป็นความสุขความสงบความระงับขึ้นมา ธรรมโอสถไง มันดับกันที่นี่
เวลาโทสัคคินา โมหัคคินา โลภัคคินา ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเป็นไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ เวลาไฟมันแผดมันเผาขึ้นมานี่มันเผาใคร แล้วฝนมันก็ชำระล้างความโลภไม่ได้นะ เวลามันจะชำระล้างก็ชำระได้ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดับไฟอันนี้ขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรา
ทำบุญ บุญนี้ก็เป็นบุญอยู่แล้ว มันเป็นวิทยาศาสตร์ ใครทำดีได้ดี ใครทำชั่วได้ชั่ว ใครทำอย่างไรได้อย่างนั้น เป็นของเขาโดยธรรมชาติ ไม่มีใครมายกย่องสรรเสริญมันก็เป็นโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว มันเป็นสัจจะเป็นความจริงของมัน
แต่เวลาเราภาวนาขึ้นมามันเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา มันเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมาอีก นี่ไง ธรรมโอสถ สัจธรรมขึ้นมาซักฟอกหัวใจของเราขึ้นมาให้สมกับเป็นผู้ประเสริฐ ให้หัวใจประเสริฐขึ้นมา ประเสริฐขึ้นมาจากการกระทำ ประเสริฐขึ้นมาจากการได้ยินได้ฟัง ประเสริฐขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติ ประเสริฐขึ้นมาจากการค้นคว้าการแสวงหาของเรา ให้มันประเสริฐจากน้ำมือน้ำพักน้ำแรงของเรา มันจะเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นสมบัติของเรา เอวัง